หน้าเว็บ

แจกวัตถุมงคล รอบนี้


ที่นี่เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่มและบุคคลหากไม่มีศรัทธาอย่ามาก่อกวน ภาพและบทความมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การสะกดจิตระลึกชาติ

   การสะกดจิตระลึกชาติ

การเดินทางย้อนอดีตไปสู่ภพชาติเก่าที่ผ่านมาของมนุษย์กระทำได้โดยการใช้ “จิต” นั่นคือการนั่งสมาธิ หรือการฝึกจิตในหลากหลายวิธีจนเกิด “ญาณ” ในระดับสูงที่สามารถทำให้ผ่านกาลเวลา กลับไปสู่อดีตชาติของตนเองได้ นี่คือวิธีที่ “ผู้ปฏิบัติ” ทั้งหลายย่อมรู้อยู่ แต่ในปัจจุบันบรรดานักวิทยาศาสตร์ทางจิต รวมทั้งจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั้งในต่างประเทศ และในเมืองไทยได้ทำการพิสูจน์และยอมรับแล้วว่า “การสะกดจิต” เป็นอีกวิธีการหนึ่ง ซึ่งเป็นทางลัดไปสู่ “การระลึกชาติ” ได้เร็วขึ้น
เรื่องนี้เราได้รับการเปิดเผยจาก อาจารย์ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ ประธานชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีดีกรีประกาศนียบัตร นักสะกดจิตบำบัดจากสมาคมนักสะกดจิตแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา และมีประสบการณ์ในการเป็นนักสะกดจิตบำบัดอยู่เกือบ 10 ปี มีประสบการณ์ในการสะกดจิตระลึกชาติย้อนอดีตมาไม่น้อยกว่า 400 คน
การสะกดจิตระลึกชาติเป็นที่ยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือปาฏิหาริย์ใดๆทั้งสิ้น ชาติที่แล้วใครเคยเกิดเป็นอะไร ไปทำอะไร หรือทำกรรมอะไรมาบ้าง เมื่อสะกดจิตระลึกชาติแล้ว เราสามารถรู้ได้ทุกคนด้วยตัวของเราเอง แต่ก่อนอื่นหลายคนคงอยากจะทราบว่า การสะกดจิตมีมานานแค่ไหนแล้วในประเทศไทยเรามีการสะกดจิตกันนานหรือยัง เรื่องนี้ อาจารย์ชนาธิป อธิบายให้ฟังว่า “การสะกดจิตถ้าเอาแบบฝรั่ง เขาบอกสะกดจิตมีมาพร้อมโลก เพราะในคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนว่า พระเจ้าสร้างอดัมกับอีฟ ตอนสร้างอดัมพระเจ้าสะกดจิตอดัมให้นอนเพื่อให้เรียนรู้จากวิธีการนอน ทีนี้ในศาสนาพุทธผมสังเกตว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็สะกดจิตนะ โดยวิธีสวดมนต์นี่แหละ เสียงสวดมนต์เป็นเสียงสะกดจิต การสวดมนต์ในพุทธศาสนา การทำละหมาดในอิสลาม การร้องเพลงในโบสถ์ก็ถือเป็นการสะกดจิต ทีนี้เอาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็ถอยไปไม่นาน 70-80 ปี ก็มีคนเริ่มเอาการสะกดจิตมาใช้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวในยุโรป อังกฤษ เยอรมนี เดิมทีก็ยังไม่เข้าใจว่าการสะกดจิตคืออะไร บางคนก็บอกว่าเป็นอำนาจลึกลับ บางคนก็บอกเป็นพลังแม่เหล็ก แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วมันเป็นการโน้มน้าวจิตใจ เพราะฉะนั้นคำว่า “สะกดจิต” ซึ่งเดิมมาจากภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘Hypnosis’ (ฮิปโนซิส) เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนใหม่ใช้คำว่า ‘Suggestion’ คือการให้คำแนะนำหรือแปลว่าการโน้มน้าวจิตใจก็ได้ ผมจะเรียกว่า ‘การกล่อมเกลาจิตใต้สำนึก’เพราะฉะนั้นศาสตร์ตัวนี้ถือว่าใหม่ เดิมทีสมัยก่อนโดยทางการแพทย์ แพทย์ไทยยังมีระบุอยู่เลย บอกว่า การสะกดจิตเนี่ยมันได้ผลไม่ถาวรและรักษาโรคได้ไม่กี่โรค แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วตอนนี้มีการประชุมนักสะกดจิตโลก เขาบอกการสะกดจิตรักษาได้เยอะหลายโรคและมีผลถาวรด้วย” “ในเมืองไทยเราคนแรกที่พูดถึงการสะกดจิต ก็คือ ‘หลวงวิจิตรวาทการ’ ท่านแต่งหนังสือมหัศจรรย์ทางจิต เขียนเรื่องอำนาจลึกลับ พลังมหัศจรรย์อะไรต่างๆ ไว้ซัก 20 เรื่องมั้ง หนึ่งในนั้นมีเรื่องของการสะกดจิต อันนี้ถือว่าบันทึกไว้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ว่าก็แค่เขียน ที่นี้เอาเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆเนี่ยก็ 30 ปี ที่ผ่านมา คนแรกที่เอาการสะกดจิตมาทดลองและเขียนผลงานทางวิชาการเป็นหนังสืออย่างเป็น เรื่องเป็นราวคือ นพ.เชียร สิริยานนท์ เป็นจิตแพทย์ ท่านเอาการสะกดจิตมาทดลองและเผยแพร่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย แต่ตอนนั้นเนื่องจากว่ามันเป็นศาสตร์ใหม่ คนก็ยังรู้จักกันน้อย”
อาจารย์ชนาธิป ยังได้ให้ความเห็นถึงการระลึกชาติและรายละเอียดของการสะกดจิตระชาติว่า
“ผมมีความเห็นเหมือนกับคนในพระพุทธศาสนาทั่วๆไป ถ้าเชื่อในพระพุทธเจ้าก็น่าจะเชื่อได้ว่าการระลึกชาติมีจริง เพราะว่าถ้าไม่เชื่อว่าการระลึกชาติมีจริงก็ต้องบอกว่าพระพุทธเจ้าโกหก แต่ทีนี้ ในพระพุทธศาสนาก็บอกว่า โอ้โห...ต้องมีญาณมีอะไรถึงจะไประลึกชาติได้ ซึ่งนั่นก็เป็นการกระทำทางจิตต่อตัวเอง ซึ่งในทฤษฎีสะกดจิตเนี่ยมันจะตอบคำถามง่ายๆเลยว่า ถ้าเรากระทำทางจิตกับตัวเองเนี่ยมันยาก แต่ถ้ามีบุคคลอื่นมาช่วยกระทำทางจิตให้เราเนี่ยมันง่าย มันจะเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นก็แปลว่าถ้าจิตสงบดำดิ่งลึกลงไป อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกได้ ก็มีแนวโน้มไปสู่การระลึกชาติภพที่ผ่านมาได้” ภาวะที่จิตสงบดำดิ่ง ขณะได้รับการสะกดจิตให้ระลึกชาตินั้นอาจารย์ชนาธิป กล่าวว่าเหมือนกับ “ภวังค์” ในภาวะที่ “จิตว่าง” ในระดับสูง ขณะที่เรานั่งสมาธิทำจิตให้สงบนั่นเอง และความนิยมในการสะกดจิตระลึกชาติสำหรับในเมืองไทยเวลานี้ก็มีการตื่นตัวและ ให้การยอมรับกันอย่างกว้างขวางหลายกลุ่ม “ความสนใจเรื่องสะกดจิตระลึกชาติปัจจุบันมีหมดเลยทุกกลุ่ม ทหาร หมอ อาจารย์มหาวิทยาลัย ด็อกเต้อร์ ชาวบ้าน แม่ค้า อยากรู้หมด เพราะฉะนั้นความอยากรู้เรื่องชาติภพที่แล้วเนี่ยไม่จำกัดกลุ่ม เพศ และวัย 60-70 ก็ยังอยากรู้ เด็กๆ 10 กว่าขวบ ยังเคยมาระลึกชาติ แต่ทุกคนที่มาให้สะกดจิตระลึกชาติ อาจทำได้ไม่ 100% จากประสบการณ์ของผมและก็เทียบกับผลงานทางวิชาการเรื่องระลึกชาติของนักสะกด จิตในต่างประเทศมันก็คล้ายๆกัน ในทุกๆ 10 คน จะมีอยู่ประมาณ 7-8 คน ที่สะกดจิตได้ อีก 2-3 คน สะกดไม่ได้มันเป็นความพร้อมของแต่ละคนขึ้นอยู่กับสภาวะทางจิตของเขา ทีนี้คนที่จะไประลึกชาติได้พบว่า สมมุติว่าสะกดจิตครั้งแรกเลย จะไประลึกชาติได้ใน 10 คนเนี่ย มีโอกาสทำได้แค่ 2-3 คน เท่านั้นเอง และมากน้อยไต่ระดับลงไปอีก และเห็นได้กี่ชาตินี่ในงานของคนอื่นก็มีไปได้เป็น 10 ชาติ แต่ตัวอย่างเท่าที่ผมรวมแล้วน่าจะประมาณ 300-400 คน ที่มาระลึกชาติกับผมและเท่าที่ผมพบก็ไปกันได้ซัก 5-6 ชาติ” สำหรับตัว อาจารย์ชนาธิปเองยังเคยมีประสบการณ์ในการสะกดจิตตัวเองให้ระลึกชาติมาแล้ว เหมือนกัน ซึ่งการสะกดจิตตัวเองให้ระลึกชาตินั้น อาจารย์บอกว่าหากศึกษาแล้วสามารถทำได้ไม่มีอันตราย เพียงแต่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องราวในอดีตชาติที่อาจารย์ชนาธิปเคยย้อนไปดู อาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่า “ผมเคยระลึกชาติตัวเองได้ซัก 2 ชาติ เริ่มที่ชาติก่อนหน้าโน้น เห็นว่าตัวเองเป็นผู้หญิงฝรั่งอ้วนกลมเหมือนฝรั่งสมัยโบราณเลยใส่ชุดสุ่ม มีลูกชาย 4 คน ลูกพวกนี้ขยัน เราก็เลี้ยงลูกอยู่แต่ในครัว พอลูกโตก็ออกจากบ้านไปเป็นทหารหมดเลย แต่การระลึกชาตินั้นไม่เห็นว่าใครเป็นสามี ไม่รู้ว่ามีสามีรึเปล่า แต่พอลูกออกไปหมดก็อยู่บ้านคนเดียว แล้วก็มีคำพูดแวบออกมาจากผู้หญิงคนนี้บอกว่า เป็นผู้หญิงน่ะไม่สนุกเลย พอมาอีกชาตินึง ก่อนหน้าชาติปัจจุบันเนี่ยเป็นผู้ชาย หน้าดูเป็นเอเชีย แต่ผมไม่รู้ว่าชาติไหนอาจจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโด หรือไทยแถวๆนี้คงจะรวย เพราะว่าแกมีสนามแบดมินตันในบ้าน แต่ว่าหน้าแกไม่มีความสุขเลย หน้าแกทุกข์มาก แล้วก็มาชาตินี้มันก็เลยทำให้ผมตอบคำถามตัวเองว่า อ้อ...เป็นไปได้ว่าชาติโน้นเป็นผู้หญิง แล้วก็รู้สึกว่าไม่สนุก ขอเปลี่ยนแล้วกัน พอมาเป็นผู้ชายก็ไม่สนุกอีกมันก็ไปสอดคล้องกับพุทธศาสนา คนเราเกิดมาเพราะ ‘อวิชชา’ คนเราเกิดมาเพื่อลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหาความสุขสูงสุดในชีวิต มาถึงตอนนี้ผมก็ตอบคำถามตัวเองนะ โดยเอาผลมาหาเหตุว่า มีความสุขหรือไม่มีความสุขก็ไม่เกี่ยวกับการเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่เกี่ยวกับมีสตางค์ไม่มีสตาง ค์อยู่ที่ว่าเราทำใจเราให้เรามีความสุขได้หรือไม่ต่างหาก” “แล้วภาพที่เห็นระหว่างระลึกชาติมันก็เหมือนความฝันแต่ว่ามันจะมีข้อแม้อยู่ ก็คือ หนึ่งเราไม่ได้หลับไป สองเราไม่ได้คิดไปเองเพราะถ้าเราคิดไปเองเราจะไม่สงสัยในสิ่งที่เราคิดไปเอง คือผมจะไปคิดเองทำไมว่าชาติก่อนผมเป็นผู้หญิงน่ะ ถ้าเราคิดไปเองคนส่วนใหญ่น่าจะคิดไปประมาณว่า แบบเป็นเทวดาเหาะมา หรือชาติที่แล้วเป็นพระราชา เป็นเจ้าหญิงอะไรพวกนั้นน่ะ เพราะว่าหลายๆคนที่มาระลึกชาติกับผมเนี่ยมีหมดแหล่ะ เคยเป็นงูก็มี เป็นแพะก็มี เป็นกระต่าย สิงห์โตก็มี ซึ่งถ้าเขาคิดเองเขาจะคิดอย่างนั้นทำไม ใช่มั้ย เป็นควายยังมีเลย บางคนระลึกชาติปุ๊บเห็นภาพควายมา แถมยังรู้สึกด้วยว่า ควายตัวนั้นคือเขา” ฉบับหน้าจะมาติดตามกันต่อว่า บุญและกรรมในอดีตชาติจะตามมามีผลในชาติปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร

   การระลึกชาติเป็นปรากฏการณ์ปรจิตวิทยา

นักจิตวิทยาบางพวก กล่าวอ้างว่า การระลึกชาติเป็นปรากฏการณ์ปรจิตวิทยา ที่เกิดขึ้นในกลุ่มชนผู้เชื่อว่า มนุษย์เวียนว่ายตายเกิด เช่น ในกลุ่มชนผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธเป็น ต้น แต่ก็เคยมีปรากฏบางครั้งบางคราวในยุโรปเช่นกัน แม้ว่าผู้ที่คิดว่าตนระลึกชาติได้นั้นไม่ใช่พุทธหรือพราหมณ์ แต่ก็ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมและคริสต์ระลึกชาติได้ ทั้งๆที่กระแสหลักในทั้งสองศาสนาไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ [1] [2] [3] [4]
จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าศาสนามีบทบาทในปรากฏการณ์รำลึกชาติจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นักปรจิตวิทยาพยายามเสนอ โดยตั้งข้อสันนิษฐานว่า การระลึกชาตินี้เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผล ๒ ประการคือ
๑. การที่บุคคล ๆ นั้นได้นำข้อมูลออกมาจากจิตใต้สำนึก เป็นข้อมูลที่เคยได้ยินมาในอดีต แล้วลืมไป ต่อมาเมื่อตกอยู่ในภาวะภวังค์ (เช่นการสะกดจิตตนเอง หรือถูกสะกดจิต ที่เป็นไปในรูปแบบการนั่งวิปัสสนา เข้าทรง หรือ อื่น ๆ) ก็สามารถรำลึกถึงข้อมูลนี้ได้ ทว่าข้อมูลที่ได้มานั้น อาจผิดเพี้ยนไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ให้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวตนเอง เช่นเรื่องของสตรีอเมริกันคนหนึ่งที่ระลึกชาติได้ว่า นางเคยเป็นสตรีชาวไอร์แลนด์ในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เมื่อถูกสะกดจิต นางก็สามารถร้องเพลงและเต้นรำแบบไอริชได้ อีกทั้งยังสามารถพูดภาษาไอริชได้อีกด้วย นักวิทยาศาสตร์สาขาพาราจิตวิทยาจึงศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นกับสตรีคนนี้ด้วย ความสนใจ แต่เมื่อได้สืบประวัติของนาง ก็ทราบผลมาว่าในอดีต นางเคยมีเพื่อนบ้านที่มาจากไอร์แลนด์ จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า นางอาจเคยรู้เรื่องของไอร์แลนด์มาไม่มากก็น้อย การระลึกชาติของนางจึงอาจเป็นเพียงการระลึกถึงเรื่องที่นางเคยได้ยินมา แต่นางคิดว่าเกิดขึ้นกับตนจริง ๆ นางอาจจะไม่ได้ตั้งใจโกหก
๒. การการอ้างระลึกเพื่อเรียกร้องความสนใจ หากศึกษาการระลึกชาติของเด็กในอินเดีย อาจเป็นไปได้ว่า เด็กที่ระลึกชาติได้นั้น ส่วนมากจะเป็นเด็กฉลาด ที่มีปัญหาทางครอบครัว และพฤติกรรมอันนี้จะเพียงแค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะหายไป เด็กบางคนสามารถนำหลักฐานต่าง ๆ มาแสดงว่าตนเคยมีชีวิตอยู่ในอดีตจริง แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า เด็กเหล่านั้นเคยฟังผู้ใหญ่พูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งในอดีตขณะที่ยังเป็นเด็ก เล็ก ต่อมาอีกหลายปี เด็กคนนั้นก็จะเอาเรื่องดังกล่าวมาเล่าใหม่เป็นของตน ผู้ใหญ่รอบข้างก็จะยอมรับว่าถูกต้อง โดยลืมไปแล้วว่า อันที่จริงตนนั่นแหละที่เคยเล่าเรื่องดังกล่าวให้คนอื่นฟัง และคนที่นั่งฟังอย่างสนใจในตอนนั้นก็คือหนูน้อยตัวเล็ก ๆ ที่พวกเขาคิดว่าเป็นผู้วิเศษ ระลึกชาติได้ในวันนี้ การระลึกชาติประเภทนี้ก็คือ ความทรงจำและความฉลาดของคน ในการที่จะหลอกคนอื่นเพื่อเรียกร้องความสนใจ (หากเป็นเด็ก) หรือ เพื่อหารายได้เข้าตัว (หากเป็นผู้ใหญ่)

    การเพิ่มขึ้นของความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ในสังคมตะวันตก

เนื่องจากหลักฐานที่พิสูจน์ได้ และกรณีศึกษามากมายที่ได้รับการวิจัยจนเป็นที่ยอมรับ ว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องจริง และเป็นธรรมชาติอันสามัญธรรมดาของวงจรชีวิต ทำให้ในปัจจุบัน สังคมตะวันตกเริ่มให้การยอมรับในเรื่องนี้ จากผลการสำรวจในหลายๆปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีผู้เชื่อในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าสังคมอเมริกันจะมีกลุ่มศาสนาคริสต์หัวรุนแรง ที่ครอบงำสังคมอยู่ในหลายภาคส่วน แต่ก็มีผู้ที่เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน ซึ่งตัวเลขนี้ก็ใกล้เคียงกับตัวเลขรวมจากยุโรปตะวันตกเช่นกัน
ในยุโรปตะวันออก ซึ่งมีอิทธิพลของกลุ่มศาสนาหัวรุนแรงครอบงำน้อยกว่านั้น บางประเทศอย่างเช่นลิธัวเนีย มีผู้เชื่อในเรื่องนี้กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ในรัสเซีย มีผู้เชื่อกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ [5] [6]

    References

  1. ^ Reincarnation in Islam [1]
  2. ^ Druze belief in Reincarnation [2]
  3. ^ Ian Stevenson [3]
  4. ^ Children's past lives [4]
  5. ^ Reincarnation in Popular Western Culture [5]
  6. ^ WHO Believes in Reincarnation? [6]

   ข้อมูลเพิ่มเติม

ไม่มีความคิดเห็น: