หน้าเว็บ

แจกวัตถุมงคล รอบนี้


ที่นี่เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่มและบุคคลหากไม่มีศรัทธาอย่ามาก่อกวน ภาพและบทความมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีสะกดจิตตัวเอง


วิธีสะกดจิตตัวเอง

บางท่านอาจเคยผ่านหูผ่านตาเรื่องสะกดจิตมาก่อน อาจเคยเข้ารับการอบรม หรือซื้อตำรับตำรามาอ่าน หลายรายที่ได้มีโอกาสได้คุยมักจะบอกว่าปฏิบัติไม่ได้ ต่อไปนี้เป็นทริก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการเตรียมความพร้อมก่อนจะฝึกสะกดจิตตัวเองเหมือนเรียน ถีบจักรยาน หลักการไม่มีอะไรมาก เพียงแต่รู้จักการทรงตัวขณะเรากำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ถ้าไม่เริ่มต้นถีบจักรยานก็จะไม่มีวันเป็น และไม่มีวันรู้ถึงประสบการณ์ที่จะต้องเคลื่อนไหวตัวเองหนีแรงโน้มถ่วง คิดว่ายกตัวอย่างการถีบจักรยานกับการฝึกสะกดจิตน่าจะไปด้วยกันได้ เพราะการสะกดจิตให้เป็นนั้นไม่ยาก แต่ต้องฝึกหัด และต้องเข้าถึงประสบการณ์ของสภาวการณ์ขณะตัวเองอยู่ภายใต้การสะกดจิตก่อน ไม่มีตำราเล่มไหนในโลก หรืออาจารย์ท่านใดอธิบายชัดเจนได้ หรือสมจริงสมจังได้เหมือนเราประสบเอง ฉะนั้นหลายคนที่ซื้อหนังสือมาศึกษาเองมักจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ขอตั้งสังเกตอย่างนี้

1. ตำราที่ซื้อมามักเป็นหนังสือแปล ถ้าคนเขียนมั่ว คนแปลก็ยิ่งมั่ว โดยเฉพาะนักแปลเรื่องทำนองนี้ในเมืองไทย ผมกล้าบอกว่าไม่มีใครรู้จริงสักคน สักแต่แปลออกมา
2. หนังสือบางเรื่องเขียนเกินเลยความเป็นจริง และโดยเฉพาะเขียนวกไปวนมาอวดอ้างแต่อภินิหาร ไม่บอกเคล็ดลับวิธีการฝึกปฏิบัติที่ง่าย ๆ และถูกต้อง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเขียนให้คนอ่านหลงใหลเพ้อฝันไปด้วย คงอยากให้คนคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์เทพเป็นคนที่ติดต่อกับพลังอำนาจบางอย่าง ได้เป็นพวกที่อ้างจักรวาลอ้างจิต พวกนี้ไม่มีอภินิหารอะไรหรอกครับ ยกมาอวดอ้างไปวัน ๆ
3. หนังสือบางเล่มมักเอาเรื่องความเชื่อ ลัทธิ และศาสนามาปะปนอย่างนี้เรียกมั่วแท้ ๆ ทั้งสองเรื่องไม่เกี่ยวกันเลย ถามง่าย ๆ ว่าถ้านักสะกดจิตมีกันได้ที่รัสเซียทำไมไม่โดนคอมมิวนิสต์จับไปประหารตั้ง 50-60 ปีก่อน ถ้าหากว่ามันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องศาสานาหรือลัทธิต่าง ๆ หนำซ้ำยังสนับสนุนการค้นคว้ากันเป็นล่ำเป็นสัน
4. หนังสือบางเล่มพยายามบอกผู้อ่านว่าสิ่งที่เขานำเสนอคือต้นฉบับ เป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือทำนองการสะกดจิตจะต้องเป็นอย่างงี้ ๆ ถ้าเป็นอย่างอื่นแปลว่าไม่ใช่ ถ้าไม่เหมือนกันแปลว่าไม่จริง ขอยกตัวอย่างการสะกดจิตบางเล่มที่ได้ต้นฉบับมาจากประเทศในญี่ปุ่น มักจะเอาเรื่องญาณเรื่องลมปราณ เรื่องโยคะ เรื่องพลังจักรวาล หรือเลยเถิดไปว่าจะสะกดจิตให้ได้ดีต้องนุ่งขามห่มขาว ต้องกินเจ ถือศีล ถามอีกทีคนรัสเซียที่เขาเก่ง ๆ การสะกดจิตน่ะเขารู้เรื่องปราณ เรื่องโยคะหรือเปล่าไม่รู้จักหรอกครับ ยิ่งฝรั่งอเมริกันที่สอนการสะกดจิตและมีสมาชิกเป็นล้านคนนี่ยิ่งไม่รู้จัก ใหญ่เลย ไม่ต้องทำชีวิตพิสดารหรอกถ้าใครบอกว่าเขาต้องทำอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนั้น เพื่อจะได้ทำการสะกดจิตให้ดีขึ้น เขาโกหกครับ

ฉะนั้น ภายใต้ทฤษฏีของการสะกดจิต เราสามารถสะกดจิตตัวเองเพื่อให้มีสมาธิในการทำสิ่ง

ต่าง ๆ ได้ และถ้าการฝึกฝนอยู่ในระดับชั่วโมงที่สูงขึ้นจะทำให้ตัวตนของความมีสมาธินั้น อยู่กับเรา และเพิ่มความเข้มของมันเองโดยตลอด เหมือนเรียนขี่จักรยาน เมื่อเป็นแล้วก็จะไม่มีวันลืม แต่หากไม่นำเอามาใช้ก็เพียงแต่จะทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ได้คล่องแคล่ว แต่เรารู้จักหลักการวิธีการของการสะกดจิตได้ตลอดไป เมื่อไหร่พร้อมหรือมีโอกาสก็กลับมารื้อฟื้นได้เสมอ ฉันใดก็ฉันนั้นการเป็นนักขี่จักยานที่เก่งนอกจากการเรียนกลวิธีปลีกย่อย แล้ว ต้องมีชั่วโมงที่ขี่มากด้วย ยิ่งฝึกมากก็ยิ่งชำนาญมาก แต่จะเก่งลึกซึ้งหรือไม่ก็ต้องรู้กลวิธีและนำเอามาใช้เอามาฝึกปรือ รู้อย่างเดียวไม่นำเอามาใช้ก็ไม่น่าจะทำได้ และเช่นกัน ถ้าเป็นแบบพื้น ๆ ก็เก่งแบบพื้น ๆ อยู่นั่นไม่ได้พัฒนาขั้นที่สูงขึ้น

การทำจิตใจให้สูงขึ้น การกินเจ หรือนุ่งขาวห่มขาวก็ย่อมทำได้ แต่ไม่ใช่แก่นสารของการสะกดจิตและการมีพลังจิต ถ้ารู้หลักการ คือการทำใจนิ่งไม่แกว่งก็เพิ่มพลังจิตได้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว อย่าหลงเชื่อพวกที่ทำให้มันดูยาก หรือดูเหมือนว่าต้องมีบุญญาบารมี พวกนี้หลอกเอาเงินทั้งนั้น

นอกจากนี้ภาพที่เราเห็นในการแสดง คนที่อาจทำการสะกดคนอื่นด้วยอำนาจจิตแท้ ๆ ใน

โลกนี้อาจจะมีอยู่จริง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา อยากจะเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าใคร ๆ ก็อาจเรียนเพื่อเป็นนักบิน และสามารถประกอบอาชีพที่เก่งกาจได้แต่จะให้เป็นนักบินขับยานอวกาศ โอกาสที่นักบินทั้งโลกจะก้าวไปถึงขั้นนั้นมีเท่ากับหนึ่งในล้านฉะนั้นขอให้ ท่านเก่งแบบนักสะกดจิตทั่ว ๆ ไปเหมือนนักบินทั่วไปก็ใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องคาดหวังถึงขั้นนั้น และขาดหวังจริงย่อมได้แต่จะไปถึงหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะในสหรัฐอเมริกาเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับคนพิสดารพวกนี้เลย เพราะคนพวกนี้เก่งแต่ตัว สอนคนอื่นไม่ได้ ฉะนั้นทางวิชาการเขาถือว่าเก่งแบบนั้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เก่งแต่โชว์เก็บตังค์เหมือนเล่นละครสัตว์อย่างหนึ่ง ไม่มีประโยชน์เกินกว่าการทำให้ผู้ชมตื่นเต้นและเข้าใจผิดว่าเป็นอิทธิฤทธิ ปาฏิหาริย์

การเตรียมความพร้อมเพื่อการสะกดจิตตัวเองนี้ สำหรับผู้ฝึกหัดใหม่เพราะอันที่จริงแล้ว ผู้มีประสบการณ์มาก ฝึกฝนบ่อยจะเรียนรู้วิธีการทฤษฎีมากพอสมควร จะสามารถทำได้เกือบทุกเวลา และสถานการณ์ เรียกว่ายิ่งเก่งมากยิ่งทำได้โดยเวลาเร็วขึ้น และแม้ในสถานที่ที่ไม่น่าจะพร้อมเลยก็สามารถทำได้ ไม่งั้นจะมีคนเก่งถึงขั้นสะกดจิตสะกดจิตรูดแหวนรูดสร้อยแล้วรู้สึกมัน ไว้มีโอกาสดี ๆ แล้วจะเขียนเรื่องนี้อีกสักหนหนึ่ง เรื่องสะกดจิตรูดแหวนรูดสร้อยนี้ถ้าเราได้รู้ว่าเขาทำอย่างไร มีความเป็นมามากน้อยแค่ไหน และจะป้องกันอย่างไร เขามีกลเม็ดของเขาอยู่นิดเดียว เราก็มีกลเม็ดของเราอยู่นิดเดียวเหมือนกัน ซึ่งถ้าหากได้รู้แล้วรับรองไม่มีวันที่ใครก็สะกดจิตปลดทรัพย์ได้แน่ ต่อจากนี้ไปก็จะพูดถึงเรื่องการเตรียมความพร้อมก่อนสะกดจิตตัวเอง ซึ่งแบ่งเป็น 9 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม แสงไฟในห้องไม่จ้าเกินไปอากาสภาพในห้องให้ถ่ายเทได้สะดวกไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป และไม่มีเสียงดังอึกทึก
2. เตรียมร่างกายให้พร้อม ถ้าอาบน้ำชำระร่างกายได้ก็จะยิ่งดีมากออกกำลังกายเล็กน้อย ยืดเส้นยืดสาย 2- 3 นาทีใช้ได้แล้ว
3. ทำให้การฝึกความพร้อมในการสะกดจิตตัวเอง ก่อนเข้านอนทุกวันก่อนเวลาปกติ
4. เลือกนอนบนที่นอนที่ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป
5. ถ้ามีแสงไฟอยู่ในห้อง หรือมีแสงไฟหลอดเข้ามาในห้องให้นอนหันไปคนละทิศกับแสงไฟ สีภายในห้องมีสีดทนอ่อน เช่น ฟ้า เขียว ให้ดีที่สุดคือม่วง ควรหลีกเลี่ยงสีแดง ส้ม สีร้อนแรง
6. การนอนควรนอนในท่าหงายเหยียดตัวออกไป ไม่หนุนหมอนหรือหนุนหมอนที่หนาที่สุด เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนรวมถึงศีรษะเป็นเส้นตรง ซึ่งช่วยในการหายใจได้สะดวกขึ้น ให้ขยับศีรษะให้แหงนขึ้นเล็กน้อย หรือในทางตรงกันข้าม หลีกเลี่ยงวิธีที่จะทำให้ศีรษะและลำคององุ้ม ซึ่งจะทำให้การเดินทางของลมหายใจจากจมูกถึงปอดติดขัดทำให้หงุดหงิดรำคาญ โดยเฉพาะออกซิเจนที่จะเข้าไปช่วยในการฟอกโลหิตก็จะลดน้อยลง
7. เมื่อนอนแล้วให้วางมือสบาย ๆ ข้างลำตัว หงายฝ่ามือขึ้น การหงายฝ่ามือขึ้นก็เพราะนิ้วมือทั้งสิบ มีปลายเส้นประสาทที่ละเอียดอ่อนมากเราจะมีความรู้สึกละเอียดอ่อนและไวที่ เส้นประสาทปลายนิ้ว ฉะนั้นการตัดการรับรู้อื่น ๆ โดยหงายฝ่ามือเพื่อไม่ให้ปลายนิ้วมือสัมผัสกับสิ่งใด ก็เพื่อสามารถมุ่งสมาธิไปที่การสะกดจิตและสั่งจิตใต้สำนึกเพื่ออย่างเดียว
8. เท้าให้เหยียดยาวออกไป วางในลักษณะเกือบตั้งตรงทั้งนี้ทุกส่วนของร่างกายจะไม่มีอาการเกร็ง การบิด หรืออยู่ในอาการเหยียดออกไปจนสุด
9. ไม่ควรมีหมอนข้าง ตุ๊กตาวางพาดหรือถูกส่วนใดของร่างกายผ้าห่มถ้าจะใช้ห่มควรห่มคลุมถึงลำคอ ไม่ควรห่มแต่บางส่วนของร่างกาย

ก่อนที่จะเข้าสู่การสะกดจิต เมื่อจัดทุกอย่างพร้อมตามหัวข้อที่กำหนด ก็เชื่อได้ว่าเรา

ใกล้ความสำเร็จมากมากขึ้น ผู้ฝึกหัดสะกดจิตส่วนใหญ่มักจะเห็นข้อกำหนดปลีกย่อยนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย และไม่ค่อยยอมทำตาม ก็เลยไม่สามารถเข้าสู่สภาวะการถูกสะกดจิต แล้วก็พานไม่เชื่อวิธีนี้ ถ้าหัดถีบจักรยานทั้งที่รู้ว่ายังไม่เติมลมยางล้อให้เรียบร้อย แล้วเมื่อไหร่จะถีบเป็นละจ๊ะ

มาพูดเรื่องแบบฝึกหัดง่าย ๆ ก่อนการสะกดจิตตัวเองดีกว่า มีอยู่ 3 สิ่งที่ควรจะเรียนรู้และฝึกฝนก่อน คือ 1. ฝึกสูตรลมหายใจ 2. ฝึกมอง 3. ฝึกหลับดำดิ่งลึกลงไป ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดดังนี้

1. ฝึกสูดลมหายใจ

การฝึกสูดลมหายใจก็มีส่วนสำคัญทำให้เข้าสู่สภาวะหลับลึก และเปิดจิตใต้สำนึกได้ดี การฝึกสูดลมหายใจนี้ไม่ใช่ลักษณะที่ต้องมาท่องพุทโธหรือยุบหนอพองหนอ ให้เราสูบลมหายใจเข้าปอดช้า ๆ ลึก ๆ สามครั้ง เมื่อล้มตัวลงนอนทุกครั้งให้จินตนาการลมหายใจที่เข้าปอดเป็นควันสีขาว ควันสีขาวแทรกซึมเข้าไปถึงส่วนส่วนหนึ่งของร่างกายก็รู้สึกมีความสุขดึกด่ำ ถึงตรงนั้น ในขณะเดียวกัน ลมหายใจที่ผ่อนออกมาให้จินตนาการว่าเป็นควันสีดำ ลมหายใจที่ผ่อนเข้าไปเป็นควันสีขาวแต่เมื่อผ่อนออกมาเป็นควันสีดำก็เพราะ ความเหน็ดเหนื่อยและความท้อแท้ต่าง ๆ ในร่างกายได้ผสมเข้าไปกับลมหายใจแล้วกลายเป็นสีดำ แล้วดึงออกมาพร้อมกับลมหายใจ ฉะนั้นยิ่งหายใจจิตใจยิ่งเบิกบาน ยิ่งสูดลมหายใจเข้าก็ยิ่งรู้สึกอิ่มใจ ยิ่งสูดลมหายใจออกก็ยิ่งรู้สึกสดชื่นมีกำลังใจจะฝึกอย่างนี้อยู่ทุกวันก็ได้ และจะฝึกทุกที่ทุกเวลาก็ได้ เพียงแต่จินตนาการถึงควันดำควันขาวที่เข้าออกในร่างกาย โดยเรารับรู้และเตือนตัวเองเสมอว่าควันขาวคืออะไรเราก็มีความสดชื่นมีกำลัง ทำงานอย่างกระปี้กระเปร่าทุกวัน

2. ฝึกมอง

เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การสะกดจิตตัวเอง เมื่อเราล้มตัวลงนอนในบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยมีแสงไฟสลัว ๆ แล้ว ให้นึกถึงตัวเองกำลังง่วงนอน กำลังอ่อนเพลียลงในทุกขณะมีความรู้สึกอยากจะหลับและพักผ่อน แต่ให้ฝืนไว้ไม่ยอมหลับตา ให้มองไปที่วัตถุใดวัตถุหนึ่งมีระยะความห่างไม่เกิน 2 เมตร ให้มองเหมือนเรากวาดสายตาไปที่ใดที่หนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ มองไปเฉย ๆ ไม่จ้อง ไม่เพ่ง พินิจพิจารณาสิ่งของนั้น มองอย่างว่างเปล่า

เมื่อสายตาเมื่อยล้าก็อยากพักสายตาหรือเปลี่ยนไปมองอย่างอื่น ให้มองไปเรื่อย เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งซึ่งไม่แน่นอน อาจจะ ภายใน 2-3 นาที หรือ 10 นาที เราจะรู้สึกเมื่อยล้าสายตา เราจะเริ่มฝืนตัวเองที่เปิดเปลือกตาไว้ไม่ไหว เมื่อถึงจุดนั้นแล้วเราก็เริ่มที่จะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงช้า ๆ เมื่อเราหลับตาลงสนิทแล้วเราจะรู้สึกมีความสุขและสบายใจที่ได้ปิดเปลือกตาลง ถ้าจนแล้วจนรอดมองวัตถุต่าง ๆ แล้วก็ยังไม่เห็นรู้สึกอะไรหรือหมดความอดทนเสียก่อน หรือมัวแต่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แทนที่คิดถึงแต่เรื่องอยากจะนอน เราก็ไม่สามารถผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ และก็จะฝึกเพื่อสะกดจิตตัวเองไม่ได้ ให้ค่อย ๆ ทดลองทำอย่างนี้ไป ไม่ต้องนึกต้องคิดอะไรมาก อย่าใจร้อน อย่าตัดตอน อย่าทดสอบ

ใช้เวลาสัก 7 วันต้องเห็นผล แล้วถ้าในแต่ละคืน ครั้งแรกไม่สำเร็จ ให้ทดลองทำอีกไม่เกิน 2 ครั้ง เกินจากนี้ถ้าเรายังไม่สำเร็จก็จะเริ่มเครียดจะวู่วามไปควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จะท้อแท้ไปเอง อย่าเร่ง อย่าตัดตอน อย่าสงสัย และระแวง เพราะใคร ๆ คนอื่นทำกันได้ทั้งนั้น การสะกดจิตตัวเองเป็นสภาวะของการหยุดการรับรู้ ถ้าเรายังคงมีสิ่งต่าง ๆ โลดแล่นอยู่ในสำนึก ในจิตใจ ในสมอง เราก็จะทำไม่สำเร็จ ลองบอกกับตัวเองว่าจะหยุดนึกหยุดคิดเป็นเวลา 1 นาที ได้อย่างนี้แล้วดีเอง

3. ฝึกเข้าสู่ประสบการณ์หลับแบบดำดิ่งลึก

การฝึกเข้าสู่ประสบการณ์หลับแบบดำดิ่งลึกเป็นอีกระยะที่อยากขึ้นไปอีก ต้องฝึกในขั้นที่ 2 ให้ได้ก่อนแล้วจึงจะฝึกในขั้นนี้ได้ เพราะจะทำได้ในช่วงที่ต่อเนื่องกันเท่านั้น

เมื่อเราเข้าสู่การฝึกมองและปิดเปลือกตาลงอย่างมีความสุขแล้ว ให้จินตนาการถึงกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเอามาประยุกต์ตามตัวอย่างที่ตัวเองชอบและพอใจ ดังนี้

1. จินตนาการว่าตัวเองไหลไปตามท่อวงรูปเกลียวและไหลวนอยู่อย่างนั้นจนไม่มีที่

สิ้นสุด

1. จินตนาการว่าตัวเองอยู่ในลิฟต์ชั้นที่ 100 และกำลังมาชั้นที่ 1
2. จินตนาการว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่บันไดเลื่อน บันไดเลื่อนกำลังเคลื่อนลงช้า ๆ
3. จินตนาการว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ริมหาดทรายกลางแสงจันทร์
4. จินตนาการว่ากำลังว่ายน้ำไปข้างหน้า จะเป็นในแม่น้ำหรือทะเลก็ได้โดยมีเป้าหมายคือ

ว่ายตรงไปทางแสงจันทร์

1. จินตนาการว่ากำลังนั่งดูน้ำที่ไหลมาจากน้ำตก และกำลังไหลห่างเราออกไป

ให้เลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่สร้างจินตนาการทุก ๆ เรื่อง หรือทีละ 2-3 เรื่อง เพราะจินตนาการเหล่านี้ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการฝึกการหลับแบบดำดิ่งลึกด้วย จินตนาการ จินตนาการที่ขาดตอน ที่ไม่ต่อเนื่องและไม่ปะติดปะต่อกันย่อมไม่ต่างอะไรจากการฝึกทำตัวเป็นคน ฟุ้งซ่าน ซึ่งนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์ในทางเปิดจิตใต้สำนึกแล้ว ยังเสียเวลาด้วย

มีผู้มารับคำแนะนำเพื่อบำบัดอาการเครียดตื่นกลัวท่านหนึ่งบอกว่าได้ไปเรียน รู้ฝึกฝนอยู่ทุกวันเป็นเวลานานครึ่งปี โดยเริ่มจาการฝึกลมปราณตามด้วยจินตนาการถึงมือร้อน เท้าร้อน และหน้าท้องร้อน เสร็จแล้วจินตนาการว่าตัวเองลงลิฟต์ชั้นที่ 20 ลงมาถึงชั้นที่ 1 แล้ว ปรากฏผลว่ารู้สึกเหมือนไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยจนรู้สึกท้อแท้

สิ่งที่ผู้นี้ได้รับการเรียนรู้มาถือว่าถูกต้องพออนุโลมได้ในเรื่องทฤษฎีการ สะกดจิต แต่สำคัญมากที่จะฝึกอย่างใดอย่างหนึ่ง กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งโดยจินตนาการอย่างต่อเนื่องจนตัวเองหลับไป การสร้างเรื่องจินตนาการแบบขาดตอนไม่เป็นเรื่องเดียวกันก็ไม่ต่างอะไรจากนอน คิดฟุ้งซ่านเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที

การสร้างจินตนาการเพื่อเข้าสู่สภาวะการสะกดจิตตัวเองและสั่งจิตใต้สำนึกได้ ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องในเรื่องเดียวกัน และควรอยู่ในบรรยากาศที่เย็นสบายแสงสลัว ๆ และหากรู้สึกกลัว เปลี่ยวเหงา อาจจะจินตนาการว่ามีเพื่อนหรือคนรักหรือคนที่เราไว้วางใจร่วมเดินทางไปกับ เราด้วยก็ได้ ให้ฝึกทำอย่างนี้ให้บ่อยและให้นานมากที่สุด เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าเรารู้สึกอิ่มใจสบายใจและมีความสุขที่จะเพลิดเพลินไป กับจินตนาการนี้ เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกอึดอัด หงุดหงิดหรือเบื่อหน่าย แสดงว่าเรายังไม่สามารถเข้าสู่สภาวะหลับลึกแบบดื่มด่ำได้ เพราะผู้ที่เข้าสู่สภาวะนี้ได้จริงจะมีความสุข และเมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีความรู้สึกอยากที่จะหยุดและเปิดเปลือกตาขึ้นมาเอง แต่ในจิตใจก็ยังรู้สึกอิ่มใจและมีความสุขที่ได้เข้าไปอยู่ในประสบการณ์ นั้น หรือไม่ก็รู้สึกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และอยากจะหลับไปเอง

เมื่อท่านฝึกฝนทั้ง 3 ส่วนจนได้ผลเป็นอย่างดีแล้ว ก็จงเตรียมพร้อมที่จะสะกดจิตตนเองเพื่อเปิดจิตใต้สำนึกและสร้างข้อมูลเพื่อ การสร้างสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ

(ชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย สะกดจิต สะกดจิตบำบัด พลังจิตพลังจิตบำบัด จิตสำนึก จิตใต้สำนึก พลังจิตใต้สำนึก สั่งจิต สั่งจิตใต้สำนึกแพทย์ทางเลือก จิตเหนือสำนึก จิตไร้สำนึก จิต เทคนิคจิตใต้สำนึก จิตวิทยา สุขภาพจิตจินตนาการ จินตภาพบำบัด จิตเป็นายกายเป็นบ่าว กล่อมเกลาจิตใต้สำนึก คลื่นสมองดนตรีบำบัด หลับยาก เครียดง่าย โมโหร้าย ใจร้อน กดดันตัวเอง คาดหวัง ตื่นเต้น วิตกท้อแท้ หดหู่ มะเร็ง ภูมิแพ้ สะเก็ดเงิน พาร์กินสัน หวาดกลัว พฤติกรรม นิสัยทัศนคติ ความเชื่อ พีระมิด เพนดูลั่ม หินบำบัด รักษา the society of thai hypnotists www.thaihypno.com hypnotism hypnosis hypnotizing hypnotize hypnotherapy imagination alternative medicine mind over matter Holistic healing intregeted curation brain wave music therapy science of vibration crystal bowl )

ไม่มีความคิดเห็น: